ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการได้กลับบ้านมาเจอห้องเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศ แต่เชื่อไหมว่าหลายครั้งความเย็นสบายนี้มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่มองไม่เห็น ไม่ว่าจะเป็นค่าไฟที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ หรือค่า ล้างแอร์ ที่ต้องเสียเป็นประจำทุกปี ปัญหาเหล่านี้มักมีต้นตอมาจากสิ่งที่เรามองข้ามไป นั่นคือ ความสะอาดของเครื่องปรับอากาศ
หลายคนอาจจะคิดว่าการล้างแอร์เป็นเรื่องของช่าง เป็นหน้าที่ที่ต้องรอให้ถึงรอบแล้วค่อยเรียกช่างมาจัดการ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การดูแลรักษาความสะอาดแอร์ไม่ได้เป็นเรื่องยากและซับซ้อนอย่างที่คิด เพียงแค่คุณรู้ “เคล็ดลับง่าย ๆ” ที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ก็จะช่วยยืดอายุการทำความสะอาดครั้งใหญ่ของช่างไปได้อีกนาน ช่วยให้แอร์สะอาดนานขึ้น ประหยัดค่าล้างได้จริง และที่สำคัญคือได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์และดีต่อสุขภาพของคนในบ้านทุกคน
ในบทความนี้ เราจะมาเผย 3 เคล็ดลับง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็ทำได้ เพื่อให้แอร์ของคุณสะอาดเหมือนใหม่ได้นานขึ้น และบอกลาปัญหากลิ่นอับและค่าไฟแพงไปได้เลยครับ
เคล็ดลับที่ 1: หมั่นทำความสะอาด “แผ่นกรองอากาศ” อย่างสม่ำเสมอ
นี่คือเคล็ดลับพื้นฐานที่สุดแต่ก็สำคัญที่สุดที่หลายคนมองข้ามไป แผ่นกรองอากาศ หรือ Air Filter เปรียบเสมือนด่านหน้าของเครื่องปรับอากาศ ทำหน้าที่ดักจับฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกต่าง ๆ ไม่ให้เข้าไปสะสมในคอยล์เย็น (แผงทำความเย็น) ที่อยู่ด้านใน เมื่อใช้งานไปเรื่อย ๆ แผ่นกรองอากาศจะเต็มไปด้วยฝุ่นจนกลายเป็นกำแพงขวางกั้นการไหลเวียนของอากาศ
ลองนึกภาพว่าคุณหายใจผ่านผ้าที่เต็มไปด้วยฝุ่นมันจะอึดอัดแค่ไหน เครื่องปรับอากาศก็เช่นกัน! เมื่อแผ่นกรองอากาศสกปรก แอร์จะต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อดูดอากาศเข้าไปในระบบ ทำให้เปลืองไฟมากขึ้น แอร์ไม่ค่อยเย็น และยังเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคที่พร้อมจะฟุ้งกระจายในห้องของคุณได้ตลอดเวลา
วิธีทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศนั้นง่ายมาก ๆ:
- ปิดเครื่องปรับอากาศก่อนทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยและป้องกันอันตรายจากไฟฟ้า
- เปิดหน้ากากแอร์ และถอดแผ่นกรองอากาศออกมาอย่างเบามือ
- นำแผ่นกรองอากาศไปเคาะฝุ่นออกเบื้องต้น แล้วใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดทำความสะอาดอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าฝุ่นถูกกำจัดออกไปได้มากที่สุด
- ล้างด้วยน้ำสะอาด สามารถล้างด้วยน้ำเปล่า หรือใช้น้ำสบู่อ่อน ๆ เพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่ฝังแน่น
- ผึ่งลมให้แห้งสนิท ก่อนนำไปใส่กลับเข้าไปในเครื่องปรับอากาศอีกครั้ง ห้ามนำแผ่นกรองที่ยังเปียกอยู่ไปใส่เด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกิดเชื้อราและปัญหาอื่น ๆ ตามมาได้
ควรทำบ่อยแค่ไหน?
สำหรับบ้านพักอาศัยทั่วไปที่มีการใช้งานปกติ ควรทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศทุก ๆ 2-4 สัปดาห์ แต่ถ้าเป็นห้องที่มีฝุ่นเยอะ ห้องที่มีสัตว์เลี้ยง หรือห้องที่ใช้งานหนักเป็นประจำ ก็ควรทำความสะอาดให้บ่อยขึ้นตามความเหมาะสม
การทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศเป็นประจำไม่เพียงแต่ช่วยให้แอร์สะอาดนานขึ้น แต่ยังช่วยให้แอร์เย็นเร็วขึ้น ประหยัดไฟ และช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องได้อีกด้วยครับ
เคล็ดลับที่ 2: ใช้โหมด “ไล่ความชื้น” หรือ “Dry Mode” เพื่อป้องกันเชื้อรา
ปัญหาใหญ่ที่ทำให้แอร์มีกลิ่นอับชื้นก็คือ เชื้อราและแบคทีเรีย ที่เติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่ชื้นและเย็นจัด โดยเฉพาะในบริเวณคอยล์เย็นและท่อน้ำทิ้ง และสาเหตุหลักที่ทำให้แอร์มีความชื้นสะสมอยู่มากก็คือการทำงานของแอร์ในโหมดทำความเย็น (Cool Mode) ที่ทำให้เกิดไอน้ำเกาะอยู่ตลอดเวลา
หนึ่งในฟังก์ชันที่หลายคนมองข้ามไปบนรีโมทแอร์ก็คือ “Dry Mode” หรือโหมดไล่ความชื้น ซึ่งฟังก์ชันนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อทำให้ห้องเย็น แต่มีไว้เพื่อ ลดความชื้นในอากาศ เป็นหลัก เมื่อความชื้นลดลง อากาศก็จะถ่ายเทได้ดีขึ้น และที่สำคัญคือเป็นการลดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรียไปโดยปริยาย
วิธีใช้งานโหมด Dry Mode อย่างชาญฉลาด:
หลังจากที่คุณใช้งานแอร์ในโหมดทำความเย็นเป็นเวลานาน ๆ และต้องการปิดแอร์ ให้ลองเปิด “Dry Mode” ทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที ก่อนปิดเครื่องจริง ๆ โหมดนี้จะช่วยเป่าลมแห้งเพื่อลดความชื้นในคอยล์เย็น ทำให้ภายในเครื่องแห้งสนิทก่อนที่จะปิดการทำงานอย่างสมบูรณ์
ควรทำบ่อยแค่ไหน?
คุณสามารถใช้วิธีนี้ได้เป็นประจำทุกครั้งก่อนปิดแอร์ หรืออย่างน้อย สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง โดยเฉพาะในวันที่อากาศอบอ้าวและมีความชื้นสูงมากเป็นพิเศษ นอกจากจะช่วยลดการสะสมของเชื้อราได้แล้ว ยังช่วยให้คุณรู้สึกสบายตัวมากขึ้นในวันที่อากาศชื้น ๆ อีกด้วย
การใช้ Dry Mode เป็นประจำจะช่วยให้แอร์ของคุณปราศจากกลิ่นอับ และช่วยให้คุณไม่ต้องกังวลเรื่องการสะสมของเชื้อโรคจากความชื้นภายในเครื่องไปได้มากเลยครับ
เคล็ดลับที่ 3: เปิด “พัดลม” ไล่ความชื้นหลังใช้งาน
นอกจากโหมด Dry Mode ที่มาพร้อมกับเครื่องปรับอากาศแล้ว อีกหนึ่งวิธีง่าย ๆ ที่ใช้หลักการคล้ายคลึงกันและได้ผลดีไม่แพ้กันก็คือการใช้ “โหมดพัดลม” (Fan Mode) หรือการเปิดพัดลมควบคู่กับการเปิดแอร์ในโหมดทำความเย็น
การเปิดพัดลมควบคู่ไปกับแอร์จะช่วยให้ การหมุนเวียนอากาศในห้องดีขึ้น ทำให้คุณรู้สึกเย็นสบายขึ้นถึง 1-2 องศาเซลเซียส ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถปรับอุณหภูมิแอร์ให้สูงขึ้นได้ (เช่น จาก 25 เป็น 27 องศา) เพื่อประหยัดพลังงานโดยที่ยังคงความเย็นสบายไว้ได้เท่าเดิม
แต่เคล็ดลับที่เราจะพูดถึงในข้อนี้คือการใช้ “โหมดพัดลม” ไล่ความชื้น หลังจากการใช้งานแอร์ในโหมดทำความเย็นนาน ๆ
วิธีการทำก็ง่ายมาก:
หลังจากที่คุณใช้งานแอร์ในโหมดทำความเย็นจนพอใจแล้ว ให้ ปิดโหมดทำความเย็น (Cool Mode) แต่ยังคงเปิดโหมดพัดลม (Fan Mode) ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที การทำเช่นนี้จะทำให้พัดลมยังคงทำงานอยู่เพื่อเป่าลมไล่ไอน้ำและความชื้นที่เกาะอยู่บริเวณคอยล์เย็นให้แห้งสนิทก่อนปิดเครื่อง
ควรทำบ่อยแค่ไหน?
วิธีนี้สามารถใช้ได้เป็นประจำทุกครั้งหลังจากการใช้งานแอร์เป็นเวลานาน ๆ โดยเฉพาะในช่วงกลางคืนที่เปิดแอร์ต่อเนื่องหลายชั่วโมง การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณตื่นเช้ามาโดยไม่มีกลิ่นอับจากแอร์ และยังช่วยลดการก่อตัวของเชื้อราและแบคทีเรียได้อีกด้วย
สรุป: การดูแลแอร์ไม่ใช่เรื่องยากแค่ใส่ใจ
การดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศให้สะอาดและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ใช่เรื่องที่ต้องพึ่งช่างเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป เพียงแค่คุณนำ 3 เคล็ดลับง่าย ๆ นี้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยให้คุณประหยัดเงินในกระเป๋าไปได้อีกเยอะ
- หมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศทุก 2-4 สัปดาห์ เพื่อให้ลมเย็นไหลเวียนได้ดีขึ้นและแอร์ไม่ทำงานหนัก
- ใช้โหมด Dry Mode หรือโหมดพัดลม เพื่อไล่ความชื้นในเครื่องก่อนปิดแอร์ทุกครั้ง เพื่อป้องกันการเติบโตของเชื้อราและกลิ่นอับ
การทำสิ่งเหล่านี้เป็นประจำจะช่วยยืดระยะเวลาการล้างแอร์ใหญ่กับช่างจากปกติปีละ 1 ครั้ง เป็นปีครึ่งหรือ 2 ปีครั้งได้เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณได้ใช้แอร์ที่สะอาดจริง ๆ ทำให้สุขภาพของคุณและคนในครอบครัวดีขึ้นอีกด้วยครับ
อย่าปล่อยให้แอร์ที่บ้านเป็นแหล่งสะสมของฝุ่นและเชื้อโรคอีกต่อไป ลองนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปทำตามดู แล้วคุณจะพบว่าการมีแอร์ที่สะอาดและเย็นสบายพร้อมกับบิลค่าไฟที่เบาลงเป็นเรื่องที่ทำได้จริง!
สนใจติดต่อ ล้างแอร์ https://lin.ee/YDoymRa